เจาะลึกเส้นทางก่อนจะมาเป็นศิลปินของ TAEYANG พร้อมเผยถึงประสบการณ์สมัยยังเป็นเด็กฝึกร่วมกับ G-



2014-06-20 00:00:00

TAEYANG อุทิศครึ่งชีวิตของเขาให้กับเสียงเพลงไม่มีดาวดวงใดที่อยู่ๆจะตกลงมาจากฟากฟ้าได้โดยไม่มีที่มาที่ไป คำพูดนี้ใช้พูดถึงเหล่าศิลปิน K-pop ที่เฉิดฉายอยู่บนเวทีระดับโลกได้เป็นอย่างดี กว่าพวกเขาจะได้เป็นซุปเปอร์สตาร์ต้องใช้เวลากว่า 4 ปีในการซ้อมอย่างหนัก และยิ่งเป็นการฝึกซ้อมขณะที่พวกเขายังอยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้นลำบากยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นตลอดระยะเวลาจึงมีเด็กฝึกที่ถอนตัวไปหลายต่อหลายคนเพราะรับความกดดันไม่ไหว ครึ่งหนึ่งที่ต้องพับความฝันเก็บใส่กระเป๋าไปด้วยความเต็มใจ แต่อีกครึ่งก็ยอมรับความจริงอันแสนโหดร้ายนี้ไม่ได้


TAEYANG (Dong Young Bae อายุ 26 ปี) นักร้องนำวง BIGBANG ก็เผชิญกับเวลาที่ยากลำบากนั้นมาเช่นกัน เขาต้องกัดฟันต่อสู้ในฐานะเด็กฝึกของค่าย YG Entertainment ใน Seoul Hapjeong มามากกว่า 6 ปี นับแล้วเท่ากับ 2,190 วัน หรือ 5,256 ชั่วโมง TAEYANG เลือกเดินบนเส้นทางนี้ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่เขาควรจะใช้เวลาอย่างสนุกสนานกับเพื่อนๆ แต่เป็นเพราะเขาตั้งใจจริง เขาจึงไม่เคยหลอกตัวเองว่าอยากเป็นศิลปิน และนั่นคือที่สิ่งที่ทำให้ 6 ปีในการเป็นเด็กฝึกของเขาเต็มไปด้วยแรงใจและการฝึกฝนอย่างหนัก จนได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในการเป็นหนึ่งในสมาชิกวง BIGBANG ที่เปิดตัวในปี 2006 จนกระทั่งตอนนี้เขาก้าวมาถึงจุดสูงสุด เป็นเพชรเม็ดงามที่ส่องประกายเจิดจ้า


จากความฝันในการเป็นแรปเปอร์จนกลายมาเป็นนักร้องนำของ BIGBANG และได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สอง "RISE" ไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ TAEYANG ในฐานะนักร้องเดี่ยว มารู้จัก TAEYANG แบบเจาะลึกตั้งแต่ก้าวแรกบนเส้นทางสายดนตรีกับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษนี้

"ผมอยากเป็นนักร้อง" 
คำพูดของ TAEYANG ในวัย 13 ปีกลับเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งชีวิต

คุณอยากเป็นนักร้องตั้งแต่ตอนไหน?

"ผมรักในเสียงดนตรีตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่ได้แสดงออกอะไรเพราะตอนนั้นผมขี้อาย พอขึ้นป.4 ก็มีโอกาสเข้าโรงเรียนการแสดงครับ ตอนนั้นครอบครัวผมมีฐานะไม่ค่อยดีเลยต้องไปอยู่กับกับคุณป้า ได้ติดห้อยสอยท้ายไปกับญาติที่เรียนอยู่โรงเรียนการแสดง พอดีช่วงนั้นค่าย YG กำลังหานักร้องดูโอรุ่นเด็กเหมือนอย่างคู่ดูโอ Jinusean (นักร้องดูโอฮิปฮอปชื่อดังในยุคนั้น) อยู่ ผมเลยได้ทีไปสมัคร สุดท้ายเลยได้ไปอยู่ในมิวสิควีดีโอของ Jinusean นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เต้น hip-hop และทำให้ผมอยากเป็นเด็กฝึกที่นั่น"

คุณได้บอกว่าคุณอยากเป็นเด็กฝึกของบริษัทกับท่านประธาน YANG HYUN SUK ด้วยตัวเองเลยหรือเปล่า?  

"ใช่ครับ เพราะหลังจากจบงานของ Jinusean ผมก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม แต่ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแล้ว เลยตัดสินใจไปพูดกับท่านประธานว่า ‘ผมอยากเป็นนักร้อง ขอให้ผมได้ฝึกที่ค่ายนี้ด้วยครับ’ แล้วเขาก็แค่ ‘โอเค มาฝึกเลย’ ผมคิดว่าเขาคงแปลกใจว่าทำไมผมตั้งใจเดินทางสายนี้ตั้งแต่ยังเด็ก"

นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่เด็กชั้นป.6 จะพูดออกมา
"ตอนที่ผมอยู่ป.4 วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียส่งผลกระทบกับครอบครัวของผมอยู่มาก ผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น ใจหนึ่งผมก็แค่คิดว่าผมเกลียดการใช้ชีวิตแบบนั้น แต่อีกใจก็คิดว่าต้องหาอะไรสักอย่างที่ถนัดแล้วช่วยครอบครัวให้ผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้"

ความประทับใจแรกที่มีต่อท่านประธาน YANG HYUN SUK คืออะไร?
"ผมคิดว่าเขา ‘ตัวใหญ่จริงๆ’ ตอนนั้นมันเหมือนตัวเขาทั้งใหญ่ทั้งล่ำกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเจอมาเลยครับ"

ครอบครัวคุณต้องเป็นห่วงมากเลยใช่ไหม?
"ตอนแรกก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ แต่เขาก็มีเงื่อนไขนะครับว่า ‘ถ้าทำสิ่งที่อยากทำแล้วห้ามมาเรียกร้องความช่วยเหลือ แล้วก็ต้องรักษาเกรดที่โรงเรียนด้วย’

ตอนนั้นได้เจอกับ G-Dragon ครั้งแรกด้วยใช่ไหม?
"ตอนนั้น G-Dragon อยู่กลุ่มเต้น hip-hop ที่ยังไม่มีชื่อจนกระทั่งเขาถูกค่าย YG เรียกตัวไป พอเขามาเป็นเด็กฝึกในค่ายเดียวกันก็มีแข่งๆ กันบ้าง แต่ที่จริงเราก็มีกันแค่สองคนนี่แหละ เพราะเราต่างคนต่างไม่มีชีวิตเหมือนเด็กที่มีชีวิตวัยเรียนทั่วไป เพราะฉะนั้นความทรงจำวัยเด็กทั้งหมดของผมเลยสร้างร่วมกันมากับ Ji Young (ชื่อจริงของ G-Dragon)"

คุณคงคิดว่าเขาเป็นคู่แข่งอยู่บ้างใช่ไหม?
"ตอนนั้นทางค่าย YG ก็มองว่าตัว Ji Young เป็นทั้งเด็กฝึกและศิลปิน ส่วนผมเป็นแค่เด็กที่อยากเข้ามาฝึกเองก็เท่านั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกับเขาครับ มันเลยเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมอยากเรียนรู้ให้มากขึ้น แน่นอนครับว่าต้องมีบ้างที่เห็นเขาเป็นคู่แข่งของตัวเอง"

ชีวิตวัยรุ่นของ Dong Young Bae : ช่วงเวลาดีๆ ของเขากับ Kwon Ji Young


ชีวิตเด็กฝึกเป็นอย่างไรบ้าง?
"เหมือนผมได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งความจริง ตั้งแต่ผมถูกดึงเข้ามาสู่สังคมจริงๆ ที่นอกเหนือจากบ้านและโรงเรียน มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากครับเพราะผมไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมเท่าที่ควร"

คงต้องลำบากมากแน่ๆ เลยใช่ไหม?
"ลำบากครับ โดยเฉพาะตอนต้องเดินทางจากบ้านที่ Euijeongbu มาค่อนข้างไกล ผมเรียนเสร็จ 4 โมงเย็นแล้วต้องรีบขึ้นรถเมล์มา Hongdae รถจะมาถึงตอน 6 โมงเย็น ผมก็ต้องฝึกซ้อมจนกระทั่ง 5 ทุ่มแล้ววิ่งไปขึ้นรถเมล์คันสุดท้ายให้ทัน ถึงบ้านก็ประมาณตี 1 เดินต่อเข้ามาบ้านอีกครึ่งชั่วโมง ทำการบ้านต่ออีกจนตี 3 ถึงได้นอน ส่วนเงินไปโรงเรียนผมได้วันละ 2,000 วอน ถ้าจ่ายค่ารถไปแล้วทั้งหมดก็เหลือประมาณ 400 วอนครับ"

ที่ค่ายสอนอะไรคุณบ้าง?
"เด็กฝึกที่เพิ่งเข้ามาตอนนี้ถูกเทรนด้วยรูปแบบเดียวกันหมด แต่ตอนนั้นเราทำได้แค่ครูพักลักจำมาฝึกฝนเอง เราต้องฝึกเป็นคนธรรมดาให้ได้ก่อนจะมาเป็นนักร้อง เริ่มด้วยการทำความสะอาดค่าย ตอนนั้นคุณ Hon Pyo ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายคุมเข้มมากเลยครับ เขาจะมาเช็คเลยว่าเราทำความสะอาดดีแค่ไหน ถ้าเจอฝุ่นแม้แต่นิดเดียวเขาจะบอกให้เราไปทำใหม่ทั้งหมด"

รุ่นพี่ศิลปินที่ค่ายใจดีไหม แล้วเขาสอนเทคนิคอะไรให้บ้าง?
"มันยากที่จะเข้าไปคุยกับเขานะครับ เพราะตอนนั้นพวกเขาก็เป็นศิลปินดังๆ กันหมด รุ่นพี่กับเราก็ไม่ได้แสดงความอบอุ่นกันขนาดนั้น ผมจำได้ว่าอิจฉาพี่ๆ วง 1TYM มากตอนที่พวกเขาวางชุดที่ได้มาจากอเมริกาเต็มพื้นห้อง Ji Young กับผมก็ได้แต่คุยกันว่า ‘พอตอนเราเป็นนักร้องเราก็ได้ใส่ชุดแบบนั้นเองแหละ’ ส่วน Teddy คือคนที่ผมชอบมาก ผมบอกกับตัวเองว่าสักวันจะต้องเป็นแรปเปอร์อย่างเขาให้ได้"

ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดคือตอนไหน?
"ตอนนี้ผมกลับมานั่งหัวเราะเพราะเรื่องนั้นได้แล้วครับ คือตอนที่ออกอัลบั้มชุดที่สองของ YG family แล้ว Ji Young ได้ร้องเพลง ‘Hiphop Gentleman’ กับศิลปินคนอื่นๆ ผมก็โชคดีที่ได้ร่วมอัดเพลงหนึ่งในอัลบั้มนั้นเหมือนกัน แล้วผลปรากฏว่าอัลบั้มของ YG Family ชนะรางวัล ผมกับแม่ก็รอลุ้นอยู่ทางทีวี Sean ที่หลังจากรับรางวัลเสร็จก็กล่าวรายชื่อของผู้ร่วมทำอัลบั้ม คือผมไม่ได้คาดว่าชื่อตัวเองจะไปอยู่ในนั้น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือไม่มีชื่อผม ส่วนแม่ก็ถามว่าทำไมไม่มีชื่อทั้งที่เราก็ทำอัลบั้มนะ ตอนนั้นผมรู้สึกแย่สุดๆอยากจะหนีๆไปให้ไกลเลย"

ความฝันของคุณคือการเป็นแรปเปอร์แต่ทำไมถึงกลายมาเป็นนักร้องนำได้?
"มีวันหนึ่งที่ประธานเรียกผมเข้าไปพบ แล้วถามว่ามีเพื่อนที่เก่งๆ บ้างไหม ผมก็เลยแนะนำ T.O.P ไป พอประธานได้เจอกับเขาก็บอกให้ลองร้องเพลงให้ฟังหน่อย ตอนนั้นตัว T.O.P ก็เป็นแรปเปอร์ ด้วยเหมือนกัน เพราะตอนนั้นเพลงแนว R&B ฮิตกว่าเพลง Hip-hop มาก ประธานเลยให้ทุกคนร้องเพลงให้ฟังก่อน เขาก็ลังเลอยู่นานก่อนจะร้อง 'I believe I can fly' ของ R. Kelly ผมคิดว่าเขาค่อนข้างประหม่า แล้วอยู่ๆ ก็หยุดร้องไปตอนกลางเพลง มันเป็นสถานการณ์ที่พูดไม่ถูกจริงๆ ตอนนั้นผมยังคงยืนร้องต่อไปคนเดียว แต่นี่คือจุดเปลี่ยนเลยก็ว่าได้เพราะประธานบอกว่า 'นายก็ร้องเพลงได้นี่ ไปฝึกอีกหน่อยเถอะ" เหมือนเพื่อนในวงก็เพิ่งคุยกันไปไม่นานนี้ว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นนักร้องนำ แล้วเราก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เราก็นั่งขำกัน"

แล้วมีเรื่องอื่นๆนอกจากการฝึกที่พอจะจำได้บ้างไหม?
"คงเป็นเรื่องที่ Ji Young ย้ายไปอยู่แถว Ilsan ทำให้เราได้ไปเที่ยว La Festa กันบ่อยๆ แล้วตอนนั้นพวกส่งข้อความผ่านทางออนไลน์กำลังฮิตในโรงเรียนม.ปลาย พอเราได้ข่าวว่ามีสาวๆ สวยๆ Ji Young จะรีบส่งข้อความไปขอนัดเจอกัน แล้วก็กินเที่ยวเล่นร้องคาราโอเกะตามประสา แต่ที่น่าเสียดายคือสาวๆ ที่เจอเป็นคนถ่ายรูปขึ้นทุกคนเลย ฮ่าๆ ส่วนตัว Ji Young คือคนที่ทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ ถึงตอนนี้บางครั้งผมก็ยังอยากกลับไปเที่ยวเล่นด้วยกันใน Ilsan อยู่เลย"

TAEYANG ในวัย23 ปีที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตและโอกาสอีกครั้ง


วง BIGBANG เกิดขึ้นได้อย่างไร?
 "จริงๆแล้วตอนนั้นผมนึกว่า Ji Young กับผมจะได้เป็นคู่หูดูโอกันซะอีก แต่ประธานอยากตั้ง  บอยกรุ๊ปมากกว่า ตอนเริ่มแรกคือมี Hyun Sueng (ตอนนี้เป็นสมาชิกวงBeast) ที่เคยแชร์หอด้วยกันมาตั้งแต่อายุ 17 แต่สุดท้ายเขาก็ออกจากวงไป ส่วน T.O.P DAESUNG กับ SEUNGRI เข้ามาอยู่แทน ซึ่งตอนนั้นผมกับ Ji Young ไม่อยากให้เป็นบอยกรุ๊ป เพราะถึงเราจะรู้จัก T.O.P ดีแต่เราไม่รู้จักอีกสองคนเลย ไม่รู้จะเข้ากันได้รึเปล่า แต่ปรากฏว่าหลังจากได้ซ้อมมาด้วยกันเราเข้ากันได้ดีมากเลยครับ"

BIGBANGไม่ได้ประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ต้น
"ถูกครับ เพราะวงTVXQ ที่มีแต่หนุ่มหน้าตาดีก็เข้ามาช่วงเดียวกันพอดี อย่างพวกเราก็ไม่ได้ตัวสูงไม่ได้แต่งตัวดูดีอะไรขนาดนั้น คนเลยรู้จักแค่ว่ามีวงที่ชื่อ BIGBANG ก็เท่านั้น นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เราปล่อยเพลงอยู่เรื่อยๆ แบบเดือนละเพลงเลยก็ว่าได้ ช่วงเตรียมตัวเราก็ไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ต่างๆ แถมยังต้องไปออกทีวีเพื่อโปรโมทอัลบั้ม ตอนนั้นแทบไม่ได้นอนกันเลย"

เพลง LIES กลับดังเป็นพลุแตกราวกับเป็นเรื่องโกหกเลยทีเดียว
"จริงๆ แล้วเพลงนั้นคือเพลง solo ของ Ji Young แต่ประธานคิดว่าให้ทำเป็นเพลงของวงท่าจะดีกว่า แนวเพลงของเราเลยเปลี่ยนจาก hip-hop มาเป็น electronic แต่ผลลัพธ์กลับดีเกินคาด"

นั่นจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของBIGBANG ต่อมา
"หลังจากที่เพลงนั้นได้กระแสตอบรับดีมาก เพลงต่อๆมาอย่าง "Haru Haru" "Last Farewell" "A Flaming Sunset" ก็ได้ขึ้นแท่นเป็นเพลงฮิตเหมือนกัน ต่อจากนั้นเราก็เริ่มได้รางวัลใหญ่ๆ จากรายการต่างๆ แต่นั่นคือชีวิตทำงานโดยแท้จริง ไม่มีการหยุดพักสักวัน ไม่มีแม้แต่เวลาจะมานั่งฉลอง เรายังคิดกันว่าเราจะมีเวลากินข้าวกันบ้างรึเปล่า เพราะหลังจากประสบความสำเร็จในเกาหลี เราต้องไปเริ่มใหม่ในตลาดเพลงญี่ปุ่นกันอีก"

BIGBANG เองก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากกับเขาเหมือนกัน
"หลายปีที่ผ่านมาเราทำแต่งาน งานมันหนักมากจนเราไม่ทันสังเกตเห็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกวงกันเอง ตอนนั้นเราเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทั้งรู้สึกหงุดหงิดมากแต่กลับต้องมาเจอหน้ากันทุกวัน แล้วพอเราเริ่มมีผลงานเดี่ยวออกมาก็เริ่มคิดว่าวงไม่สำคัญอะไรกับเรา มันยิ่งทำให้หงุดหงิดใจ ผมยังคิดว่าเราต้องเลิกทำวงกันทั้งอย่างนั้นเลยหรือ ถึงจะแอบเห็นด้วยว่ายังไงซะพวกวงไอดอลต่างๆ ก็ไม่ค่อยอยู่กันถึง 5 ปีหรอก และตอนนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ทุกคนมีสภาพลำบากใจไม่แตกต่างกัน มันก็ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในวงมากช่วงนั้น ผมปวดใจมากๆ เพราะไม่ใช่แค่ผมที่ต้องข้ามผ่านสถานการณ์แบบนั้นไปคนเดียว แต่เพื่อนสนิทในวงก็ต้องผ่านมันไปอย่างยากลำบากไม่แพ้กัน มันทำใจไม่ได้เลยที่ต้องมองคนที่เรารักเจ็บปวด จนสุดท้ายผมคิดได้แล้วว่า ผมไม่ต้องการให้วงจบกันไปแบบนี้ ไม่อยากแยกกับเพื่อนๆในวงจริงๆ"

ตอนนี้มีวางแผนจะทำอะไรอีกบ้าง?
"สิ่งที่เราข้ามผ่านมาได้ ทำให้เราโตขึ้นจริงๆ ถึงหลายคนจะบอกว่าการออกไปโปรโมทเดี่ยวมันก็เพื่อผลประโยชน์ของวง ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ผู้คนก็มักจะคิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าอยู่ดี แต่เราต่างออกไปครับ เราคิดได้แล้วว่าถ้าไม่มีวง BIGBANG เราก็ไม่สามารถทำตามฝันของเราต่อไปได้"

เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทางบ้างไหม?
"ผมเคยคิดออกนอกลู่ไปไกลเลยครับ เพราะสมาชิก 4 คนในวงได้ไปถ่ายโฆษณาเบียร์ ซึ่งตอนนั้น SUENGRI ยังอายุไม่ถึงอยู่คนเดียว พอหลังจากถ่ายโฆษณาเสร็จเราวางแผนว่าจะขับรถของ DAESUNG ไปซ่อนตัวกันสักอาทิตย์ นั่งคิดว่าถ้าใช้บัตรเครดิตต้องโดนจับได้แน่ แล้วถึงกับวางแผนจะถอนเงินออกมาเยอะๆ ไว้ใช้ทีเดียว เราเตรียมตัวจะทำตามแผนทันทีที่ผู้จัดการพามาส่งถึงหน้าหอพัก แต่ปรากฏว่าเขาพาเรามาส่งที่หน้าสำนักงาน เพราะประธานอยู่ๆ ก็อยากคุยกับพวกเราซะอย่างนั้น เราสี่คนนั่งกระวนกระวายใจกันมาก แต่มารู้ทีหลังว่าประธานรู้แผนที่เราวางกันไว้ทั้งหมดเลย เพราะ SUENGRI เป็นคนเอาไปฟ้อง ถึงอย่างนั้นประธานก็ยังใจดีกับเราครับ เขาถามว่ามีอะไรทำให้ทุกข์ใจอยู่หรือเปล่า คำถามของประธานทำให้เราฉุกคิดว่าแทนที่เราหายไปดื้อๆ เราควรมานั่งพูดทำความเข้าใจกันดีกว่า"

TAEYANG หนุ่มวัย 21 อาภัพรักอกหักครั้งแรก


รักครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง?
"ผมเจ็บปวดกับรักครั้งนั้นมากครับ ผมชอบผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่ก่อนจะได้เปิดตัวกับวง แล้วก็ยังเจอเธอมาเรื่อยๆ จนเปิดตัวแล้วก็ยังได้เจอเธออยู่ แต่เพราะผมงานยุ่งมากจนไม่สามารถไปสารภาพความรู้สึกของตัวเองกับเธอได้ คือได้แค่รู้สึกดีๆ ต่อกันจนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตอนนั้นผมก็มีงานสำคัญมากที่ต้องทำตอนเปิดตัว เลยไม่ได้ขอเธอคบกัน แต่พอแค่ได้เจอหน้าเธอครั้งเดียวหลังจากไม่เจอมานานสองเดือน เหมือนพลังรักทำให้เรากระชุ่มกระชวยขึ้น เธอทำให้ผมอยากทำงานให้ดีที่สุด แค่ได้เจอหน้าเธอมันกลับสำคัญยิ่งกว่างานที่ผมทำอยู่ เพราะฉะนั้นผมยังรู้สึกดีๆ ต่อเธอแม้ว่าเราจะไมได้เจอกันเลย แต่กับเธอมันไม่เหมือนกัน จากนั้นผมก็เริ่มติดต่อเธอไม่ได้สักพักจนผมรู้สึกแย่ไปหมด พอมารู้เข้าจริงๆ คือเธอมีใครอีกคนไปแล้ว เหมือนทุกอย่างบนโลกมันไร้ความหมายไปเลย แล้วเพลงก็กลายเป็นแค่งานที่ต้องทำ คือถ้าการรักใครได้มากขนาดนี้ต้องลงเอยด้วยความทุกข์ แล้วรักแท้คืออะไรกันแน่"

ตอนนี้เดทกับใครอยู่รึเปล่า?
"ผมไม่ได้ไปออกเดทบ่อยๆ แต่ก็มีบ้างครับ ผมยุ่งจนไม่มีเวลาจะไปเจอหน้าใครๆ"

คุณเคยบอกว่าอยากเป็นศิลปินในดวงใจผู้คน ตอนนี้คุณก็เป็นนักร้องได้แล้ว แล้วคุณมีความฝันอย่างอื่นที่อยากทำอีกไหม?
"ก็ไม่มีอะไรนอกจากนี้มากหรอกครับ ยังไงผมก็ยังอยากเป็นศิลปินอยู่ดี แต่ผมก็คิดว่ายังสานฝันไม่สำเร็จ เพราะภาพที่ผมวาดไว้คือผมอยากเป็นเหมือน Michael Jackson ร้องเพลงต่อหน้าคนฟังเป็นพันเป็นหมื่น และให้ความหวังกับพวกเขาทุกๆ คน ผมมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ มีอีกหลายอย่างที่อยากจะแสดงให้ทุกคนเห็น"

คุณมีความทรงจำดีๆ ตอนไป World Tour กับวง BIGBANG ที่อยากเล่าให้ฟังไหม?
"หลังจากทัวร์คอนเสิร์ตในลอนดอน เราก็ไปเที่ยวคลับกันครับ คือพวกเราเป็นกรุ๊ปคนเอเชียกลุ่มเดียวที่เข้าไปในนั้น ผมคิดว่าทุกคนในนั้นตื่นเต้นกับการเจอคนเอเชียใส่ชุดเท่ๆ มานั่งฟังเพลงกันคลับ มีคนอังกฤษมาถามว่าเราใส่แบรนด์อะไรกัน แล้วก็โพสต์รูปเราลง Social Media เหมือนกับตอนนั้น ‘GANGNAM STYLE’ กำลังมา เขาก็เข้ามาถามเราว่ารู้จัก ‘PSY’ กันรึเปล่า ซึ่งผมชอบพูดคุยเล่าเรื่องอยู่แล้วเลยบอกเขาว่าเรามาจากสังกัดเดียวกัน"

ค่าย YG Entertainment มีความสำคัญกับ TAEYANG ยังไง?
"ตั้งแต่ผมเด็กจนตอนนี้อายุ 26 แล้ว เท่ากับว่าผมอยู่ในค่ายนี้มาครึ่งชีวิต และจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้ค่ายเราใหญ่ขึ้นมาก ศิลปินในค่ายก็มาจากหลากหลายที่ แต่ถึงยังไงสำนักงานใหญ่ก็ยังเหมือนเดิม ตอนที่เดินเข้ามาเมื้อกี้ ผมคิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่กลิ่นชื้นๆ นี่ยังเหมือนเดิม ตอนนั้นทุกกระบวนการตั้งแต่อัดเพลง ซ้อม จนถึงการบริหารจัดการจะอยู่ชั้นล่างสุด เหมือนเป็นครอบครัว YG จริงๆ แต่ตอนนี้ค่ายเราใหญ่จนต้องเรียกว่าอาณาจักร YG แทนแล้วล่ะครับ"